Home Fit Trend PURIFY FIT ท้องผูกเรื้อรัง พิษสะสมในลำไส้ ความจริงของชาชงช่วยระบายที่ไม่มีใครบอกคุณ

ท้องผูกเรื้อรัง พิษสะสมในลำไส้ ความจริงของชาชงช่วยระบายที่ไม่มีใครบอกคุณ

ท้องผูกไม่ใช่เรื่องขำ ระวังลำไส้พังโดยไม่รู้ตัว!
คุณเคยท้องผูกติดต่อกันหลายวันไหม เคยรู้สึกแน่นท้อง อึดอัด เบ่งเท่าไหร่ก็ไม่ออกไหม ซึ่งหลายคนมองว่าอาการท้องผูกเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ แต่รู้หรือไม่ว่า ท้องผูกเรื้อรัง อาจเป็นจุดเริ่มต้นของลำไส้พัง และทำให้ของเสียที่ค้างในร่างกายอาจกลายเป็นพิษสะสมแบบช้า ๆ โดยไม่รู้ตัว และการดื่มชาชงระบายดีจริงไหม? หรือแค่รู้สึกว่าดี? บทความนี้จะพาคุณไปเปิดความจริงที่หลายคนไม่เคยบอกคุณ

ท้องผูกเรื้อรัง อาการเล็ก ๆ ที่ส่งผลใหญ่และอาจร้ายแรง
ท้องผูก (Constipation) คือภาวะที่ระบบขับถ่ายทำงานผิดปกติ ขับถ่ายยาก หรือขับถ่ายไม่สุด ซึ่งถ้าหากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานถึงสัปดาห์หรือเป็นเดือน จนกลายเป็น “ท้องผูกเรื้อรัง” และผลที่ตามมาอาจร้ายแรงกว่าที่คิด

สัญญาณ (ลับ) จากลำไส้ เตือนว่าคุณอาจท้องผูกเรื้อรัง
  • ขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
  • ต้องใช้แรงเบ่งมากกว่าปกติ
  • อุจจาระแข็งหรือมีขนาดเล็ก
  • รู้สึกไม่ถ่ายสุด
  • ระบบขับถ่ายไม่เป็นปกติ



ท้องผูกไม่ใช่เรื่องขำ ระวังลำไส้พังโดยไม่รู้ตัว!   
ปล่อยไว้ = พัง เพราะการปล่อยให้ท้องผูกเรื้อรังไปเรื่อย ๆ อาจเกิดผลเสียแก่ร่างกาย ดังนี้
 
  • เสี่ยงเป็นริดสีดวงทวาร
หากมีอาการท้องผูกนาน ๆ (ถ่ายอุจจาระยากหรือถ่ายไม่บ่อย) นั้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเกิด ริดสีดวงทวาร (hemorrhoids) เพราะมีส่วนทำให้หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักเกิดแรงดันสูงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องมาจากเมื่อมีอาการท้องผูก อุจจาระค้างในลำไส้นาน จะดูดน้ำกลับเข้าสู่ร่างกาย ทำให้แข็งและแห้ง ถ่ายยากขึ้น ทำให้ต้องออกแรงเบ่งมากกว่าปกติ หรือเบ่งถ่ายแรงเกินไป เกิดแรงดันในหลอดเลือดดำรอบ ๆ ทวารหนักเพิ่มขึ้น และหลอดเลือดโป่งพอง กลายเป็นริดสีดวงทวาร 
  • มีภาวะน้ำหนักตัว เสี่ยงเป็นโรคอ้วน
หลายคนอาจไม่รู้ว่า “ท้องผูกเรื้อรัง” ไม่ได้แค่ทำให้ท้องอืดหรือแน่นท้อง แต่ยังสัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนได้จริง ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนี้
 
  • การเผาผลาญ (Metabolism) ช้าลง 
เมื่อท้องผูก ระบบย่อยอาหารและลำไส้เคลื่อนไหวช้าลง ส่งผลให้อัตราการเผาผลาญพลังงานโดยรวมของร่างกายลดลง “ร่างกายใช้พลังงานน้อยลง แต่ยังรับพลังงานเท่าเดิม เกิดการสะสมเป็นไขมัน”
 
  • สารพิษตกค้างในลำไส้ รบกวนสมดุลฮอร์โมน 
เมื่ออุจจาระค้างอยู่นานจากภาวะท้องผูก ของเสียและสารพิษจะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกาย กระทบการทำงานของตับ และต่อมไร้ท่อ โดยเฉพาะฮอร์โมนอินซูลินและเลปตินที่ทำหน้าที่ควบคุมความหิวและการสะสมไขมัน ส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้น้อยแต่หิวง่ายขึ้น และร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น มีภาวะเสี่ยงอ้วน
 
  • ความไม่สมดุลของจุลชีพในลำไส้ (Gut Dysbiosis) 
ที่เกิดจากท้องผูกบ่อย เท่ากับ ของเสียค้างในลำไส้ ส่งผลให้แบคทีเรียดี เช่น Bifidobacteria, Lactobacillus ลดลง แต่แบคทีเรียก่อโรคเพิ่มขึ้น ระบบย่อยไขมันและน้ำตาลผิดปกติ ร่างกายดูดซึมพลังงานจากอาหารมากขึ้นกว่าปกติ เกิดภาวะลำไส้อักเสบเรื้อรัง ทำให้ระบบเผาผลาญไขมันทำงานแย่ลง 

มีงานวิจัยจำนวนมากที่พบว่า คนอ้วนมักมีสมดุลจุลชีพในลำไส้ต่างจากคนผอมอย่างชัดเจน
 
  • ลำไส้อืด ร่างกายกักของเสียและน้ำ
เนื่องจากอุจจาระและแก๊สสะสมในลำไส้ มีส่วนทำให้ท้องบวม แน่นตัว น้ำหนักตัวดูเหมือนเพิ่ม ระบบน้ำเหลืองและการขับของเสียทำงานช้าลง ส่งผลให้ร่างกายบวมน้ำ น้ำหนักเพิ่มชั่วคราว แต่ถ้าเป็นเรื้อรัง จะกลายเป็นระบบเผาผลาญพัง และน้ำหนักคงที่ยาก
 
  • ลำไส้เสื่อมสภาพจากการทำงานผิดปกติ
ท้องผูกเรื้อรัง ไม่ได้แค่ทำให้ถ่ายยากหรือไม่สบายตัว แต่ยังส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพของลำไส้โดยตรง จนเกิดภาวะที่เรียกว่า “ลำไส้เสื่อม” หรือ “ลำไส้ทำงานผิดปกติ” ได้ เนื่องมาจากสาเหตุและกลไกที่เกี่ยวข้องกัน ดังนี้
 
  • ลำไส้ทำงานช้าลง (กล้ามเนื้อลำไส้อ่อนแรง) 
เพราะปกติลำไส้ใหญ่จะบีบตัวเป็นจังหวะ เพื่อดันอุจจาระออก แต่เมื่อท้องผูกนาน ๆ (โดยเฉพาะจากการกลั้นอุจจาระบ่อย หรือการไม่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์หรือใยอาหารสูง) ลำไส้จะสูญเสียจังหวะการบีบตัวตามธรรมชาติ กล้ามเนื้อลำไส้อ่อนแรง ทำให้เคลื่อนไหวช้าลงเรื่อย ๆ เกิดภาวะลำไส้ทำงานช้า” (slow-transit constipation)
 
  • เส้นประสาทควบคุมการขับถ่ายทำงานผิดปกติ
การเบ่งถ่ายแรง ๆ หรือกลั้นบ่อย ทำให้เส้นประสาทบริเวณทวารหนักและลำไส้ส่วนปลายชินชา สมองส่งสัญญาณให้ขับถ่ายได้ยากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป ระบบประสาทลำไส้ (enteric nervous system) เสื่อมลง สัญญาณขับถ่ายลดลง
 
  • ความเปลี่ยนแปลงของจุลชีพในลำไส้ (Gut Microbiota)
เมื่ออุจจาระค้างในลำไส้นาน ของเสียและสารพิษสะสมมาก ส่งผลให้แบคทีเรียดี (probiotics) ลดลง แบคทีเรียก่อโรคเพิ่มขึ้น เกิดภาวะลำไส้อักเสบเรื้อรัง ผนังลำไส้เสื่อมสภาพ ดูดซึมสารอาหารไม่ดี และอาจเกิดภาวะลำไส้รั่ว (leaky gut) ได้
 
  • เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่
เพราะท้องผูกเรื้อรังไม่ได้เป็นแค่ปัญหาถ่ายยากหรืออึดอัดท้องเท่านั้น แต่ยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colorectal Cancer) ด้วย ซึ่งมีทั้งกลไกทางตรงและทางอ้อม ดังนี้
 
  • อุจจาระค้างในลำไส้นาน เกิดของเสียสะสม
เมื่อท้องผูก อุจจาระจะอยู่ในลำไส้นานเกินไป ของเสียและสารพิษจากการย่อยอาหาร เช่น แอมโมเนีย, ฟีนอล, ไนโตรซามีน, ไฮโดรเจนซัลไฟด์ จะสัมผัสกับผนังลำไส้เป็นเวลานาน ทำให้เซลล์เยื่อบุลำไส้ถูกระคายเคืองเรื้อรังและเกิดการกลายพันธุ์ของ DNA เพิ่มความเสี่ยง “เซลล์ผิดปกติกลายเป็นมะเร็ง”
 
  • การอักเสบเรื้อรังของผนังลำไส้
เมื่อของเสียสะสมและแบคทีเรียก่อโรคเพิ่มขึ้น จะก่อให้เกิดภาวะลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Chronic inflammation) อีกทั้งการอักเสบเรื้อรังของผนังลำไส้ ทำให้ร่างกายหลั่งสารบางชนิด (เช่น cytokines, free radicals) ซึ่งสามารถทำลาย DNA ของเซลล์ลำไส้ และกระตุ้นการเจริญของเซลล์มะเร็งได้
 
  • ความไม่สมดุลของจุลชีพในลำไส้ (Gut Microbiota Dysbiosis)
ในผู้ที่ท้องผูกบ่อย จะมีแบคทีเรียก่อมะเร็ง เช่น Bacteroides fragilis, Clostridium spp. เพิ่มขึ้น ในขณะที่แบคทีเรียดี เช่น Lactobacillus, Bifidobacterium ลดลง จุลชีพเหล่านี้สามารถสร้างสารก่อมะเร็ง และกระตุ้นการอักเสบของเยื่อบุลำไส้
 
  • การเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุลำไส้
เมื่อเซลล์เยื่อบุลำไส้ถูกกระตุ้นให้ซ่อมแซมตัวเองซ้ำ ๆ จากการอักเสบและของเสีย เกิดการแบ่งเซลล์มากผิดปกติ บางส่วนอาจพัฒนาเป็นติ่งเนื้อในลำไส้ (polyp) ซึ่งเป็นระยะเริ่มต้นของมะเร็งลำไส้ใหญ่
 
  • ของเสียตกค้าง สารพิษสะสมในลำไส้ (เป็นผลเสียที่หลายคนอาจไม่รู้)
พิษสะสมในลำไส้ เรื่องจริงหรือแค่คำโฆษณา เนื่องจากร่างกายมีระบบขจัดของเสียของตัวเอง ได้แก่ ตับ มีส่วนช่วยกำจัดสารพิษ, ไต กรองของเสีย, ลำไส้ ขับถ่ายกากของเสีย แต่ถ้าคุณมีระบบขับถ่ายไม่เป็นปกติ “ลำไส้ขับถ่ายไม่ได้” กากของเสีย อุจจาระที่ค้างไว้นานจะปล่อยแก๊สและสารพิษ เช่น แอมโมเนีย, ฟีนอล สารเหล่านี้จะซึมกลับเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ลำไส้อักเสบเรื้อรัง กระตุ้นการเสื่อมของผนังลำไส้และเซลล์เยื่อบุ



รู้ไส้ รู้พุง รู้ทางแก้ ฟื้นลำไส้ ให้ขับถ่ายดีอีกครั้ง
“ลำไส้ดี เท่ากับ สุขภาพดี” การรู้ทันสาเหตุและฟื้นฟูลำไส้ตั้งแต่วันนี้ คือกุญแจสำคัญในการป้องกันทั้งท้องผูกเรื้อรัง พิษสะสม และโรคเรื้อรังอื่น ๆ ที่อาจตามมา เพียงเริ่มจากการ “กินให้ถูก ขับถ่ายให้เป็น และเคลื่อนไหวให้พอ” คุณก็สามารถคืนความสะอาด สดใส และสมดุลให้กับระบบลำไส้ได้ไม่ยาก

วิธีดูแล ป้องกัน และฟื้นฟูลำไส้ให้แข็งแรง เมื่อมีอาการท้องผูกเรื้อรัง

1. เพิ่มใยอาหารในทุกมื้อ
  • รับประทานผักและผลไม้สดวันละ อย่างน้อย 400–500 กรัม เสริมไฟเบอร์ให้ร่างกาย
  • เลือกธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ลูกเดือย ที่มีไฟเบอร์สูง
  • ใยอาหารช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระและทำให้นุ่มขึ้น ขับถ่ายง่ายขึ้น
  •  แนะนำแหล่งใยอาหารดี ๆ เช่น
    • ผักใบเขียว (ผักโขม คะน้า บร็อกโคลี)
    • ผลไม้ที่มีเพกตินสูง (กล้วยหอม แอปเปิล ฝรั่ง ส้ม)
    • เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย

2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • น้ำเป็นตัวช่วยให้อุจจาระนุ่มและเคลื่อนผ่านลำไส้ได้ง่าย
  • ดื่มวันละ 1.5 – 2 ลิตร หรือประมาณ 8 แก้ว
  • ถ้าอากาศร้อนหรือออกกำลังกายมาก ควรเพิ่มปริมาณน้ำอีกเล็กน้อย

3. ขยับร่างกายทุกวัน
  • การเคลื่อนไหว ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ (peristalsis)
  • เดินเร็ว โยคะ เต้นเบา ๆ หรือนวดท้องวนตามเข็มนาฬิกา
  • เพียง วันละ 20–30 นาที ก็ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น

4. ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา
  • เวลาที่เหมาะที่สุดคือ “หลังอาหารเช้า” เพราะลำไส้ใหญ่จะทำงานมากที่สุด
  • พยายามขับถ่ายเวลาเดิมทุกวัน เพื่อสร้างวงจรประสาทลำไส้ให้ทำงานอัตโนมัติ
  • ไม่ควรกลั้นอุจจาระ เพราะจะทำให้ลำไส้ชินกับการเก็บของเสีย

5. ลดความเครียดและพักผ่อนเพียงพอ
  • สมองและลำไส้ เชื่อมโยงกันผ่านระบบประสาท (Brain–Gut Axis)
  • ความเครียด ทำให้ลำไส้บีบตัวผิดจังหวะและท้องผูกได้
  • ควรพักผ่อนวันละ 6–8 ชั่วโมง และทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น ฟังเพลง หายใจลึก

6. เสริมสมดุลจุลชีพในลำไส้ (Probiotic & Prebiotic)
  • ช่วยให้ระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายกลับมาสมดุล
  • โพรไบโอติก (Probiotic) โยเกิร์ต นมเปรี้ยว กิมจิ มิโสะ เทมเป้
  • พรีไบโอติก (Prebiotic) กล้วยหอม หัวหอม ข้าวโอ๊ต หน่อไม้ฝรั่ง
    • สามารถรับประทานเสริมแบบแคปซูลได้ หรือจำพวกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผสมโพรไบโอติก (Probiotic) และผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผสมพรีไบโอติก (Prebiotic)

7. เลี่ยงอาหารที่ทำให้ลำไส้อืดหรือขับถ่ายยาก
  • อาหารไขมันสูง ของทอด ของหวานจัด
  • เนื้อแดง เนื้อสัตว์แปรรูป
  • แอลกอฮอล์ และคาเฟอีนในปริมาณมาก

8. ชาระบายช่วยได้ ความจริงที่ไม่มีใครบอกคุณ
  • กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ (ช่วยขับอุจจาระ)
  • เพิ่มความชุ่มชื้นและความนุ่มของอุจจาระ
  • ช่วยขับของเสียและลดการสะสมของสารพิษในลำไส้
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระและบำรุงลำไส้
  • เสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร

ในยุคที่คนจำนวนมากมีปัญหาท้องผูกเรื้อรัง การหันมาใช้ชาชงสมุนไพรช่วยระบาย ถือเป็นทางเลือกธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะชาชงสมุนไพรให้ผลอ่อนโยน เห็นผลได้จริง และมีประโยชน์ต่อระบบลำไส้ในระยะสั้น

แต่การเข้าใจกลไกการทำงานของชาชงสมุนไพรแต่ละชนิด จะช่วยให้เราใช้ได้อย่างปลอดภัยและได้ผลสูงสุด โดยไม่เกิดผลข้างเคียงในระยะยาว



ข้อดีของชาชงสมุนไพรช่วยระบาย

1. กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ (ช่วยขับอุจจาระ) 
สมุนไพรบางชนิด เช่น ใบมะขามแขก, ฝักมะขามแขก, ว่านหางจระเข้ (Aloe vera), ฝักส้มป่อย, มีสารออกฤทธิ์กลุ่ม แอนทราควิโนน (Anthraquinone) ซึ่งช่วยกระตุ้นผนังลำไส้ใหญ่ให้เกิดการบีบตัวแรงขึ้น เพื่อขับเคลื่อนอุจจาระให้เคลื่อนผ่านลำไส้เร็วขึ้น ทำให้ขับถ่ายง่ายและโล่งสบาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะลำไส้เคลื่อนไหวช้า หรือท้องผูกชั่วคราว หรือผู้ที่มีระบบขับถ่ายไม่เป็นปกติ

2. เพิ่มความชุ่มชื้นและความนุ่มของอุจจาระ 
สมุนไพรบางชนิด เช่น ว่านหางจระเข้, มะขามเปียก, เมล็ดแมงลัก / เมล็ดเจีย มีคุณสมบัติช่วยดูดน้ำและสร้างเจลธรรมชาติเคลือบผนังลำไส้ ทำให้อุจจาระนุ่มและลื่นขึ้น ลดการระคายเคืองขณะขับถ่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการอุจจาระแข็ง หรือมีริดสีดวงทวาร

3. ช่วยขับของเสียและลดการสะสมของสารพิษในลำไส้
การถ่ายอุจจาระอย่างสม่ำเสมอ มีส่วนช่วยให้ร่างกายขับของเสียออกได้เร็ว ลดการดูดซึมสารพิษกลับเข้าสู่กระแสเลือด ส่งผลให้ระบบขับถ่าย ระบบตับ และผิวพรรณดีขึ้น โดยสมุนไพรที่มีส่วนช่วยขับพิษ ได้แก่ ชาชงมะขามป้อม, ชาชงดอกคำฝอย, ชาชงใบหม่อน เป็นต้น

4. เสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร 
สมุนไพรบางชนิดมีฤทธิ์ช่วยขับลมและกระตุ้นน้ำย่อย เช่น ขิง ขมิ้นชัน กระเจี๊ยบแดง มีส่วนช่วยให้ลำไส้ทำงานเป็นจังหวะ ย่อยอาหารดีขึ้น และลดอาการแน่นท้องหรือท้องอืด

5. มีสารต้านอนุมูลอิสระและบำรุงลำไส้ 
ชาชงสมุนไพร หรือ ชาระบายหลายชนิด เช่น ดอกคำฝอย ใบหม่อน ชาเขียว อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ช่วยลดการอักเสบของเยื่อบุลำไส้และปกป้องเซลล์จากความเสื่อม

กลไกการทำงานของชาชงสมุนไพรช่วยระบาย 
โดยทั่วไป สมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการช่วยระบายนั้น จะมีกระบวนการทำงานที่แบ่งเป็น 3 กลไกหลัก ได้แก่

1. กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ (Stimulant laxatives)
กระตุ้นเยื่อบุลำไส้ใหญ่ให้บีบตัวมากขึ้น เช่น ใบมะขามแขก ฝักส้มป่อย

2. เพิ่มปริมาณและความชุ่มชื้นของอุจจาระ (Bulk-forming & Osmotic effect)
สมุนไพรที่มีคุณสมบัติเป็นเมือกหรือไฟเบอร์ใยอาหารสูง เช่น เมล็ดแมงลัก เมล็ดเจีย ว่านหางจระเข้

3. กระตุ้นการหลั่งของน้ำในลำไส้ (Hydration effect)
ทำให้อุจจาระนุ่มและขับถ่ายได้ง่าย เช่น มะขามเปียก ข้าวโพดอ่อน
     
ข้อควรระวัง
แม้ชาชงสมุนไพรช่วยระบายจะมีข้อดี แต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันทุกวันหรือระยะยาว เพราะอาจทำให้ลำไส้เคยชินกับการกระตุ้นจากภายนอก จึงควรใช้สลับกับการปรับพฤติกรรม เช่น กินผัก ดื่มน้ำ และออกกำลังกายควบคู่กันไป

ชาชงสมุนไพร ช่วยระบายเป็น “ทางเลือกธรรมชาติ” ที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายกลับมาทำงานได้ดี แต่ต้องเข้าใจกลไกของมัน และใช้ในปริมาณเหมาะสม หากใช้ถูกวิธี จะช่วยให้ลำไส้สะอาด ระบบย่อยดี ผิวใส สุขภาพลื่นไหลได้จริง
ที่มา:
[1] ท้องผูกเรื้อรัง ลำไส้พัง ไม่รู้ตัว / รพ.นครธน
[2] Mayo Clinic - ภาวะแทรกซ้อน และวิธีป้องกันภาวะท้องผูก
[3] การจัดการอาหารสำหรับอาการท้องผูกเรื้อรัง: การทบทวนกลยุทธ์ตามหลักฐานและแนวทางทางคลินิก” รีวิวงานวิจัยและแนวทางด้านโภชนาการที่เกี่ยวกับการจัดการท้องผูก เช่น ไฟเบอร์, โปรไบโอติก, น้ำแร่ที่มีแร่สูง เป็นต้น
[4] สมุนไพรบรรเทาอาการท้องผูก – คณะแพทย์ศาสตร์สิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
[5] สมุนไพรแก้อาการท้องผูก - หน่วยสารสนเทศมะเร็ง โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
Other Articles